วิทยุเซลลูลาร์ (Cellular radio)
มีชื่อเรียกอีกอย่างอื่น ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์มือถือเป็นการใช้คลื่นวิทยุในการรับ-ส่งเสียงสนทนาหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์
แบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้
ระบบเพจจิง (Paging system)
ระบบโทรศัพท์เซลลูลาร์ / เคลื่อนที่ (Cellular / Mobile Phones)
ระบบโทรศัพท์ดาวเทียม (Satellite Phones)
ระบบโทรศัพท์พีซีเอส (Personal Communications Services)
ระบบเพจจิง (Paging system)
ระบบจะทำงานต่อเมื่อมีผู้ส่ง
ข้อความถึงผู้ใช้ผ่านบริษัทเพจจิง
เครื่องคอมพิวเตอร์ของระบบจะส่ง
ข้อมูลผ่านสายพื้นดินไปยังเสาอากาศ
เสาอากาศจะส่งข้อมูลไปยังดาวเทียมเพื่อแพร่ข้อมูลไปยังเครื่องรับ
(beeper)
ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Phones)
ระบบเซลลูลาร์ที่ส่งข้อมูลทั้งแบบ analog และ digital มีหลายระบบ เช่น
GSM - Global System for Mobiletelephones
ในบริการในคลื่นความถี่ 850-1900 Mhz มีทั้งระบบ dual-band, tri-band และ quad-band
AMPS - Advanced Mobile Phone System (800 Mhz) ส่งข้อมูล analog
TACS - Total Access Communications Service
(900 Mhz)ส่งข้อมูล analog
โทรศัพท์ดาวเทียม (Satellite Phones)
ใช้ได้เกือบทุกพื้นที่บนโลก รับส่งสัญญาณข้อมูลด้วยดาวเทียม
จำเป็นต้องใช้หลายระบบของโทรศัพท์เคลื่อนที่ผสมผสานกัน เช่นโทรศัพท์ Qualcomm's GSP1600 ใช้ระบบ AMPS และ CDMA
ใช้หลักเดียวกับระบบโทรศัพท์เซลลูลาร์/เคลื่อนที่ เพียงแต่ขนาดของเซลล์ทีขนาดเล็กกว่าเพียง 50-100 เมตร
ระบบนี้ต้องการกำลังของสัญญาณต่ำ ทำให้เครื่องโทรศัพท์และสถานีฐานมีขนาดเล็กและราคาถูก แต่ต้องใช้สถานีจำนวนมาก
เช่น โทรศัพท์ PCT, CDMA (Code Division Multiple Access)
PDC (Personal Digital Cellular ใช้เฉพาะในประเทศญี่ปุ่น)
เป็นต้น
หลักในการเลือกใช้สื่อข้อมูล
Cost ค่าใช้จ่าย
Speed ความเร็วในการส่งข้อมูล
Expansion การขยายระบบ
Signal degradation การอ่อนของสัญญาณ
Interference การป้องกันการถูกรบกวนของสัญญาณ
การวิเคราะห์และการวัดสัญญาณจากระบบโทรศัพท์ เคลื่อนที่เซลลูล่าร์
ปัจจุบันนี้ มีผู้ใช้งานโทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์เป็นจำนวนมากผู้ใช้ บริการมีอยู่ทุกหนแห่งครอบคลุมพื้นที่บริการมากขึ้น การขยายบริการอาจยังไม่ครอบคลุม พื้นที่ที่มีการใช้โทรศัพท์เคลื่อนที่อย่างหนาแน่น ดังนั้นบางพื้นที่ระดับความแรงของ สัญญาณพาหะต่อสัญญาณรบกวนหรือสัญญาณพาหะต่อสัญญาณสอดแทรก (C/N หรือ C/I) ยังอยู่ในเกณฑ์ต่ำซึ่งอาจเกิดจากระดับของสัญญาณรบกวนมีค่าสูง เช่น สัญญาณรบ กวนจากช่องสัญญาณความถี่เดียวกันแต่อยู่ต่างเซล (Cochannel Interference) และจากช่อง สัญญาณข้างเคียง (Adjacent Interference) หรือเกิดจากพื้นที่รับสัญญาณอยู่ห่างไกลจาก สถานีเครือข่ายหรือมีสิ่งกีดขวางทางเดินของคลื่นทำให้พื้นที่ให้บริการครอบคลุมไปไม่ถึง1. ทฤษฎีระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ ระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ ของการสื่อสารแห่งประเทศไทยเป็นระบบที่ผลิตโดย บริษัทโมโตโรล่าประเทศสหรัฐอเมริกา ความถี่ 800 MHz AMPS (Avance Mobile Phone Systems) ส่วนประกอบของโทรศัพท์เคลื่อนที่มี 3 ส่วนคือ 1. ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Electronic Mobile Exchange) หรือ EMX
2. สถานีเครือข่าย (Cell Site)
3. เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Telephone)
ชุมสายโทรศัพท์เคลื่อนที่ทำหน้าที่เป็นศูนย์กลางที่ให้หมายเลขโทรศัพท์เคลื่อนที่ดำเนิน การสลับสายต่อให้ผู้ใช้บริการ ตลอดจนควบคุมสถานีเครือข่ายและโทรศัพท์เคลื่อนที่และ บันทึกการใช้โทรศัพท์ส่วนสถานีเครือข่ายทำหน้าที่เป็นตัวกลางการรับส่งสัญญาณคลื่น วิทยุระหว่างโทรศัพท์เคลื่อนที่กับชุมสายสถานีเครือข่ายหนึ่ง ๆ จะให้บริการแก่โทรศัพท์ เคลื่อนที่ครอบคลุมพื้นที่ที่สัญญาณส่งไปถึง หรือเรียกพื้นที่นี้ว่าพื้นที่ให้บริการ (Service Area) ดังนั้นสถานีเครือข่ายจึงต้องมีหลาย ๆ สถานี เพื่อให้ผู้ใช้บริการสามารถโทรได้ อย่างต่อเนื่อง
2.1 การจัดเซลและความถี่ช่องสัญญาณเซลจะถูกจัดเป็นกลุ่ม ๆ เช่น 4 เซล (K=4) หรือ 7 เซล (K=7) ในแต่ละเซลจะแบ่งเป็น 6 sectors หรือ 3 sectors ในแต่ละ sector จะประกอบด้วยช่องสัญญาณเสียงจำนวน 13-15 ช่องสัญญาณ
2.2 การกำหนดความถี่ช่องสัญญาณระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ AMPS 800 MHz กำหนดย่านความถี่ดังนี้
1.) ย่านความถี่ A ให้บริการโดยการสื่อสารแห่งประเทศไทย แบ่งเป็น
1.1) ความถี่ในการส่งของสถานีเครือข่าย (Base Tx) 870.30 - 879.990 MHz ประกอบด้วย - ช่องสัญญาณเสียง (Voice Channel) หมายเลข 1-312
- ช่องสัญญาณควบคุม (Signaling Channel) หมายเลข 313-333
1.2) ความถี่ในการส่งของ เครื่องโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Tx) 825.30-834.990 MHz 2.) ย่านความถี่ B ให้บริการโดย บริษัท โทเทิ่ลแอคเซสคอมมิวนิเคชั่น จำกัด แบ่งเป็น
2.1) ความถี่ในการส่งของสถานีเครือข่าย (Base-Tx) 880.20-889.980 MHz ประกอบด้วย
- ช่องสัญญาณเสียง (Voice Channel) หมายเลข 355-666
- ช่องสัญญาณควบคุม (Signaling Channel) หมายเลข 334 - 354 2.2) ความถี่ในการส่งของโทรศัพท์เคลื่อนที่ (Mobile Tx) 835.020 - 844.980 MHz การแปลงหมายเลขของช่องสัญญาณเป็นความถี่ทำได้โดย
ก. ถ้าเป็นความถี่ในการส่งของสถานีเครือข่ายความถี่ = (หมายเลขช่องสัญญาณ*0.03MHz) + 870 MHz
(1)ข. ถ้าเป็นความถี่ในการรับของสถานีเครือข่ายความถี่ = (หมายเลขช่องสัญญาณ*0.03MHz) + 825 MHz
(2)ความห่างของช่องสัญญาณ (Channel Spacing) 30 MHz
2.3 การติดต่อระหว่างสถานีเครือข่ายกับโทรศัพท์เคลื่อนที่สัญญาณที่ติดต่อระหว่างโทรศัพท์เคลื่อนที่กับสถานีเครือข่ายมีดังนี้
1. สัญญาณควบคุม (SIGNALING CHANNEL) ใช้ในการส่งข้อมูล
- มอดูเลตแบบ FSK
- อัตราการส่ง 10 kbps
- Peak deviation + 8.0 KHz
- ชนิดการเข้ารหัส Manchester
2. สัญญาณเสียง (VOICE CHANNEL) ใช้ในการสนทนา
- ชนิดการมอดูเลต FM
- Peak - deviation + 12.0 KHz
การลดทอนของสัญญาณ ระหว่างสถานีเครือข่ายกับโทรศัพท์เคลื่อนที่แบ่งออกเป็น 3 แบบคือ 1)Path Loss เป็นการลดทอนสัญญาณที่กำลังส่งของสัญญาณจะลดลงอย่างต่อเนื่องตาม ระยะทางในการส่งสัญญาณดังรูปที่ 4
2) Shadowing หรือ Lognormal Fading คือการลดทอนของสัญญาณเนื่องมาจากสิ่งกีดขวาง เช่น ตึก ต้นไม้ เป็นต้น ดังรูปที่ 5
3) Rayleigh Fading หรือ Multipath Fading คือการลดลง หรือเพิ่มขึ้นของระดับสัญญาณ อย่างทันทีทันใด เนื่องมาจากการแทรกสอดระหว่างคลื่นตรงและคลื่นสะท้อนจากอาคาร หรือวัตถุรอบ ๆ ที่มาถึงสายอากาศของโทรศัพท์เคลื่อนที่ดังรูปที่ 6 ลักษระสัญญาณที่เกิด จาก Rayleigh Fading จะขึ้นอยู่กับระยะทาง เวลา และความถี่ของสัญญาณ
2.4 การลดทอน การแพร่ของคลื่น (The propagation attenuation) โดยทั่วไปค่า propagation loss ไม่ได้ขึ้นอยู่กับความถี่อย่างเดียว แต่ขึ้นกับระยะทางที่คลื่น เคลื่อนที่ไปด้วยถ้าสายอากาศของสถานีเครือข่ายมีความสูง 30 ถึง 100 เมตร และสายอากาศ โทรศัพท์เคลื่อนที่สูง 3 เมตร และระยะห่างระหว่างสถานีเครือข่ายและโทรศัพท์เคลื่อนที่ มากกว่า 2 กิโลเมตรขึ้นไป มุมมองคลื่นตกกระทบทั้งของคลื่นตรงและคลื่นสะท้อนจะมีค่า น้อยมาก ทำให้มุมตกกระทบของคลื่นตรงมีค่าq1 และมุมตกกระทบของคลื่นสะท้อนมีค่าq2 มุม q1 จะเรียกว่ามุมยก (elevation angle) ด้วย ดังแสดงในรูปที่ 8 ค่า Propagation path loss มีค่าเท่ากับ 40 dB/dec หมายความว่าถ้าโทรศัพท์ เคลื่อนที่เปลี่ยนตำแหน่งจาก 1 กิโลเมตรจากสถานีเครือข่ายเป็น 10 กิโลเมตร สัญญาณที่รับได้จะ ลดลง 40 dB นั้นคือกำลังของสัญญาณ C (Carrier) จะแปรผกผันกับ R4 C R4 = aR4 (3) ซึ่ง C = received carrier power R = ระยะทางจากเครื่องส่งถึงเครื่องรับ
a = ค่าคงที่
ในความเป็นจริงของสภาวะแวดล้อมการแพร่ของคลื่นวิทยุของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ ค่า Propagation path - Loss แปรผันตามสมการ C Rg = aRg
(4) ค่าแกรมม่า g มีค่าอยู่ระหว่าง 2 ถึง 5 ขึ้นอยู่กับเงื่อนไขสภาวะแวดล้อมค่า g จะมีค่ามากกว่า 2 ซึ่งเป็นเงื่อนไขของ Free-space ค่าของ C แสดงในหน่วย dB คือ C = 10 log a - 10 glog R dB
2.5 สัญญาณรบกวนที่เกิดกับระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ สัญญาณรบกวนหรือ Interference เกิดจากสัญญาณมากกว่า 2 สัญญาณ ที่มีความถี่เดียวกันมา แทรกสอดซึ่งเครื่องรับไม่สามารถแยกข้อมูลออกจากสัญญาณได้ การเกิด Interference มี 2 แบบคือ Cochannel interference ซึ่งเกิดจากการแทรกสอดของสัญญาณที่ความถี่เดียวกันนำมา reuse และ Adjacent interference เกิดจากการแทรกสอดของสัญญาณที่มีอยู่ติดกัน ผลของ การเกิด Interference จะทำให้เกิดเสียงแทรกสอดของคลื่นเข้ามาในขณะที่กำลังสนทนาอยู่ จะ ทำให้เกิดเสียงแทรกสอดของคลื่นเข้ามาในขณะที่กำลังสนทนาอยู่จะทำให้คุณภาพสัญญาณต่ำลง ซึ่งจะวัดอยู่ในรูป C/I (C คือระดับสัญญาณคลื่นพาหะ และ I คือระดับของสัญญาณInterference) ซึ่งไม่ควรมีค่าต่ำกว่า 18 dB สำหรับระบบ Analog และ 9 dB สำหรับระบบ Digital การหาค่า Cochannel Interference ถ้าให้เซลที่นำความถี่กลับมาใช้ใหม่อยู่ห่างกันเป็นระยะทาง D และเซลมีรัศมีการให้บริการเป็น R ดังรูปที่ 9 อัตราส่วนระหว่าง D/R = q เรียกว่า Cochannel Inteference Reduction Factor ถ้าระยะ D มีค่ามากกว่า R มาก ๆ ค่า q จะมีค่าสูง Cochannel Interference Reduction Factor ถ้าระยะ D มีค่ามากกว่า R มาก ๆ ค่า q จะมีค่าสูง Cochannel Interference จะมีค่าน้อย การหาค่าระยะทาง D อาจหาได้จาก
2.6 การสำรวจพื้นที่ของ Cochannel Interference ในระบบ หลาย ๆ ปัญหาที่เกี่ยวกับพื้นที่การให้บริการของโทรศัพท์เคลื่อนที่ โดยเฉพาะในที่ที่มีสัญญาณ อ่อน ซึ่งเป็นผลให้เสียงสนทนาของลูกค้าขาด ๆ หาย ๆ บางส่วน ซึ่งสามารถแก้ไขโดยการเพิ่ม สัญญาณให้มากขึ้นกรณีนี้ใช้สำหรับบริเวณที่ไม่มีการเกิดการแทรกสอดของคลื่นแทรกอยู่ เมื่อลูกค้ามีจำนวนความต้องการเพิ่มขึ้น Channel ซึ่งมีอยู่จำนวนจำกัดจะต้องถูกใช้ซ้ำไปซ้ำมา ในพื้นที่ต่าง ๆ ซึ่งจะถูกแบ่งไว้หลาย Channel Cell ซึ่งจะเพิ่มความจุของระบบด้วย แต่ก็อาจจะ เกิดการแทรกสอดของคลื่นแทรกได้เหมือนกันในสถานการณ์แบบนี้คุณภาพของเสียงที่ได้รับจะ ถูกผลกระทบจากเขตแบ่งชั้นของพื้นที่บริการและการแทรกสอดของคลื่นแทรกเป็นจำนวนมากได้ สำหรับการหาคลื่นในพื้นที่ที่เกิดการแทรกสอดของคลื่นแทรกที่สำคัญ ในระบบเซลลูล่าร์มี 2 วิธีดังนี้ 1) หาพื้นที่ที่เกิดการแทรกสอดของคลื่นแทรกจากเครื่องรับสัญญาณที่เคลื่อนที่ โดยการรับ สัญญาณจากช่องสัญญาณเสียงของสถานีเครือข่ายในพื้นที่ให้บริการนั้น และขณะเดียวกัน ก็วัดสัญญาณ Cochannel Interference จากสถานีเครือข่ายอื่น ๆ ที่บริเวณพื้นที่ให้บริการเดียว กันการวัดสัญญาณ Cochannel Interference จะทำการวัดได้เมื่อสัญญาณจากพื้นที่ให้บริการหยุดไป เครื่องวัดสัญญาณอาจใช้ spectrum วัดสัญญาณ f1 (ไม่มีการเกิด Cochannel Interference), วัดสัญญาณ f2 จาก Cochannel Interference จาก cell รอบข้าง ขณะเดียวกันก็วัดสัญญาณความถี่ f3 สำหรับ Noise จากนั้นหาค่า C/I และ C/N นำมาเปรีบบเทียบกันดังนี้ 1. ถ้า C/I มากกว่า 18 dB แสดงว่า จุดรับสัญญาณนั้นยังใช้ได้ดี 2. ถ้า C/I น้อยกว่า 18dB และ C/N มากกว่า 18 dB แสดงว่าจุดวัดนั้นมีปัญหาเรื่องของ Cochannel Interference 3. ถ้าทั้ง C/I และ C/N มีค่าน้อยกว่า 18 dB ทั้งคู่และ C/N >> C/I แสดงว่าเกิดปัญหาจากการครอบคลุม พื้นที่ให้บริการ 4. ถ้าทั้ง C/I และ C/N มีค่าน้อยกว่า 18 dB ทั้งคู่และ C/N มีค่ามากกว่า C/I แสดงว่าเกิดปัญหาทั้งจาก Cochannel Interference และ การครอบคลุมพื้นที่ให้บริการ 2) หาค่า Cochannel Interference ซึ่งมีผลกับสถานีเครือข่าย สัญญาณรบกวน Cochannel Interference ในกรณีนี้เกิดจากสัญญาณของโทรศัพท์เคลื่อนที่จากสถานีเครือข่ายข้างเคียงที่ใช้ความถี่เดียวกันจำนวน ของสัญญาณรบกวนขึ้นอยู่กับจำนวนโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้บริการอยู่ในสถานีเครือข่ายเหล่านั้น
3. เครื่องมือวัดและวิธีการวัดสัญญาณ การวัดใช้เครื่อง spectrum และสายอากาศชนิดฮาฟเวฟ ไดโพล ย่านความถี่ 800 MHz สัญญาณที่ รับได้หาได้จากสมการที่ (13)Pr = Reading Value + AF + CL (13) ซึ่ง Reading Value คือ ค่าสัญญาณที่ปรากฎบนเครื่องวัด AF คือ Anterna Factor เท่ากับ 27.2 dB สำหรับย่าน 800 MHz CL คือ Cable Loss ของสายนำสัญญาณ 3.1 การรับสัญญาณจากสถานีเครือข่าย การจัดเซลของสถานีเครือข่ายของระบบโทรศัพท์เคลื่อนที่เซลลูล่าร์ที่ทำการวิเคราะห์นี้ เซลจะถูก จัดเป็นกลุ่ม ๆ ละ 4 เซล แต่เซลแบ่งออกเป็น 6 เซคเตอร์ ดังรูปที่ 13
3.2 การเลือกสถานีเครือข่ายเพื่อทำการวัดสัญญาณ โดยการเลือกกลุ่มของสถานีเครือข่าย ที่อยู่ใกล้กับจุดวัดสัญญาณมากที่สุด อาจใช้วิธีการกำหนด ตำแหน่งจุดวัดสัญญาณและตำแหน่งของเซลต่าง ๆ ลงบนแผนที่ จากนั้นทำการสแกนหาความถี่ signaling channel ของเซลต่าง ๆ ที่อยู่ใกล้กับจุดวัด สัญญาณ signaling channel โดยหาได้จากสมการ fMHz = (หมายเลขช่องสัญญาณ x 0.03) + 870 (14) แต่ละเซลจะมีหมายเลขช่องสัญญาณของ signaling channel ดังตารางที่ 1 หากมีเซลที่ส่งสัญญาณ แรงที่สุด 1 เซล ก็แสดงว่าจุดนั้นอยู่ในพื้นที่บริการของเซลนั้น ในกรณีที่จุดวัดดังกล่าวรับสัญญาณ จากเซล 2 เซลได้แรงเท่ากันหรือใกล้เคียงกันก็หมายความว่าจุดนั้นสามารถรับสัญญาณจากเซลใด ก็ได้ในกรณีที่ช่องสัญญารเซลหนึ่งไม่ว่างก็สามารถเปลี่ยนมาใช้ช่องสัญญาณอีกเซลที่เหลือได้
3.3 การวัดสัญญาณรบกวน สัญญาณรบกวนจากช่องสัญญาณความถี่เดียวกัน วัดได้โดยใช้ความถี่เดียวกันกับ การวัดช่องสัญญาณเสียงแล้วรอจนการใช้ช่องสัญญาณเสียงสำหรับการสนทนาหยุดลง ถ้าช่องสัญญาณ นั้นมีการรบกวนจากช่องสัญญาณที่ความถี่เดียวกันจะปรากฎสัญญาณขึ้นที่ช่องความถี่นั้น แต่สัญญาณ จะอ่อนกว่าในตอนแรก สัญญาณรบกวนจากช่องสัญญาณข้างเคียงจะใช้วิธีสังเกตจากบนจอของเครื่องวัดโดยช่องสัญญาณทั้งสองจะ เบียดกัน ส่วนสัญญาณรบกวน (Noise) อื่นจะวัดหลังจากที่ไม่มีสัญญาณใด ๆ จากสถานีเครือข่ายส่งออกมา สัญญาณที่รับได้จะเป็นสัญญาณรบกวนจากบริเวณจุดวัดและสัญญาณจากเครื่องมือวัด เป็นต้น เครื่องมือวัด สัญญาณอาจใช้ spectrum วัดสัญญาณ f1 (ไม่มีการเกิด Cochannel Interference) วัดสัญญาณ f2 สำหรับ Cochannel Interference จากเซลรอบข้าง ขณะเดียวกันก็วัดสัญญาณความถี่ f3 สำหรับ Noise
4. ผลการวัดสัญญาณจากการสำรวจการรับสัญญาณจากสถานีเครือข่าย โดยกำหนดจุดวัดบริเวณกรุงเทพและปริมณฑล จำนวน 55 แห่ง พบว่าจุดวัดสัญญาณที่วัดค่า C/I เกิน 18 dB มีอยู่จำนวน 45 แห่ง จุดวัดที่มีการรบ กวนจากช่องสัญญาณร่วม (Cochannel Interference) จำนวน 5 แห่ง คิดเป็น 9% ของจุดวัดทั้งหมด และพบว่ามีจุดวัดที่มีปัญหาจากการครอบคลุมพื้นที่ของเซล จำนวน 4 แห่ง คิดเป็น 7% ของจุดวัด ทั้งหมด รายละเอียดของการวิเคราะห์มีดังนี้
4.1 จุดวัดสัญญาณที่มีค่า C/I และค่า C/N เกิน 18 dB จำนวน 45 แห่ง แบ่งตามลักษณะ ของพื้นที่ดังนี้ 4.1.1 บนถนนที่มีความหนาแน่นของชุมชนและอาคารมากมี 5 แห่งดังนี้ 1) จุดวัดที่ 23 ถนนปิ่นเกล้า-นครชัยศรี หน้าอาคารมหาวิทยาลัยมหิดลปิ่นเกล้า 2) จุดวัดที่ 53 ถนนจรัสสนิทวงศ์ หน้าสถานีตำรวจท่าพระ
3) จุดวัดที่ 12 ถนนวิภาวดี หน้าสนามบินดอนเมือง
4) จุดวัดที่ 32 ถนนเพชรบุรีตัดใหม่ หน้าทีวีสีช่อง 11
5) จุดวัดที่ 26 ถนนลาดพร้าวซอย 98
4.1.2 บนถนนที่มีความหนาแน่นของชุมชนและอาคารน้อยมี 8 แห่งดังนี้ 1) จุดวัดที่ 6 ถนนลำลูกกา บริเวณคลองสี่
2) จุดวัดที่ 36 ถนนเอกมัยตัดกับถนนวงแหวนรอบนอก
3) จุดวัดที่ 8 ถนนวงแหวนรอบนอก บริเวณบางใหญ่ซิตี้
4) จุดวัดที่ 13 ถนนสุขาภิบาล 3 บางเขน
5) จุดวัดที่ 14 ถนนนิมิตใหม่ หน้าร.ร. วัดสุทธิสะอาด
6) จุดวัดที่ 21 ถนนนิมิตใหม่ หน้าสถานีไฟฟ้ามีนบุรี
7) จุดวัดที่ 42 ถนนสุขาภิบาล 2 หน้าโรงเรียนคลองปักหลัก 8) จุดวัดที่ 48 ถนนเทพารักษ์ หน้าโรงเรียนเจริญสุข
4.1.3 ภายในอาคารมี 4 แห่งดังนี้
1) จุดวัดที่ 29 ภายในห้างเดอะมอลบางแค ชั้นพื้นดิน
2) จุดวัดที่ 51 ภายในห้างเมอรี่คิงส์ ชั้น 1
3) จุดวัดที่ 38 ห้างสรรพสินค้าเซ็นทรัล สีลม ชั้น 2
4) จุดวัดที่ 50 ห้างสรรพสินค้ามาบุญครอง ชั้น 4
4.1.4 ภายในหมู่บ้านมี 2 แห่งดังนี้
1) จุดวัดที่ 1 หมู่บ้านเทพบัวทอง
2) จุดวันที่ 2 หมู่บ้านภาณุการ์เดนท์
4.1.5 พื้นที่ราบภายในสนามกอล์ฟมี 2 แห่งดังนี้
1) จุดวัดที่ 19 สนามกอล์ฟทหารบก
2) จุดวัดที่ 34 สนามกอล์ฟสโมสรกรุงเทพกรีฑา
4.1.6 บริเวณริมแม่น้ำมี 2 แห่งดังนี้
1) จุดวัดที่ 3 สะพานนนทบุรี
2) จุดวัดที่ 9 สะพานพระนั่งเกล้านอกนั้นเป็นจุดวัดทั่ว ๆ
4.2 จุดวัดสัญญาณที่มีค่า C/I ต่ำกว่า 18 dB ซึ่งเกิดจากการรบกวนจากช่องสัญญาณ ร่วมของสถานีเครือข่ายข้างเคียงซึ่งทำให้ค่า C/I <>
4.2.1 จุดวัดที่ 5 สนามกีฬาธูปเตมีย์จุดวัดนี้มีค่า C/I = 15.64 dB และ C/N = 25.78 dB เกิดการรบกวนจากช่องสัญญารร่วมจากสถานี เครือข่ายหมายเลข 42 (ดอนเมือง) ซึ่งมีระยะห่างจากจุดวัดประมาณ 4 กิโลเมตร
4.2.2 จุดวัดที่ 20 หน้าสถานีไฟฟ้าย่อย ถนนรามอินทรา จุดวัดนี้มีค่า C/I = 15.78 dB และ C/N = 23.01 dB เกิดการรบกวนจากช่องสัญญาณร่วมจาก สถานีเครือข่ายหมายเลข 39 (ร.ร.ไดนัสตี้) ซึ่งมีระยะห่างจากจุดวัดประมาณ 7 กิโลเมตร
4.2.3 จุดวัดที่ 24 โรงพยาบาลรามาธิบดีจุดวัดนี้มีค่า C/I = 14.89 dB และ C/N = 22.52 dB เกิดการรบกวนจากช่องสัญญาณร่วมจาก สถานีเครือข่ายหมายเลข 36 (โรงพยาบาลตำรวจ) ซึ่งมีระยะห่างจากจุดวัดประมาณ 2.7 กิโลเมตร
4.2.4 จุดวัดที่ 43 ถนนธนบุรีปากท่อตัดกับถนนวงแหวนรอบนอกจุดวัดนี้มีค่า C/I = 16.8 dB และ C/N = 30.7 dB เกิดการรบกวนจากช่องสัญญาณร่วมจาก สถานีเครือข่ายหมายเลข 51 (ราษฎร์บูรณะ) ซึ่งมีระยะห่างจากจุดวัดประมาณ 12 กิโลเมตร
4.2.5 จุดวัดที่ 54 โรงเรียนเจ้าพระยาวิทยาคมจุดวัดนี้มีค่า C/I = 16.79 dB และ C/N = 27.82 dB เกิดการรบกวนจากช่องสัญญารร่วมจาก สถานีเครือข่ายหมายเลข 22 (บางรัก) และสถานีเครือข่ายหมายเลข 41 (บางนา) ซึ่งมีระยะห่าง จากจุดวัดประมาณ 4.5 และ 5 กิโลเมตร ตามลำดับ 4.3 จุดวัดสัญญาณที่มีค่า C/I และ C/N ต่ำกว่า 18 dB ซึ่งเกิดจากพื้นที่ให้บริการครอบ คลุมไปไมถึงหรือเกิดจากมีสิ่งกีดขวางทางเดินของคลื่นหรือจุดรับสัญญาณอยู่ห่างไกลจากสถานี เครือข่ายมากทำให้ค่า C/I และ C/N ต่ำกว่า 18 dB ทั้งสองค่า จุดวัดดังกล่าวมี 4 แห่งคือ
4.3.1 จุดวัดที่ 2 บริเวณถนน 345 ตัดกับถนนวัดเกาะเกรียงจุดวัดนี้มีค่า C/I และ C/N = 12.2 dB เกิดจากจุดวัดอยู่ห่างไกลจากสถานีเครือข่ายหมายเลข 49 (บางบัวทอง) ประมาณ 8.3 กิโลเมตร
4.3.2 จุดวัดที่ 15 การไฟฟ้านครหลวงบางใหญ่จุดวันนี้มีค่า C/I และ C/N=8.41 dB เกิดจากจุดวัดอยู่ห่างไกลจากสถานีเครือข่ายหมายเลข 49 (บางบัวทอง) ประมาณ 7 กิโลเมตร
4.3.3 จุดวัดที่ 40 กรมอุตุนิยมวิทยาจุดวัดนี้มีค่า C/I และ C/N = 15.15 dB เกิดจากจุดถูกอาคารสูงบังคลื่นจากสถานีเครือข่าย หมายเลข 41 (บางนา)
4.3.4 จุดวัดที่ 44 ภายในอาคารเอนกประสงค์ สถาบันเทคโนโลยีพระจอมเกล้าธนบุรีจุดวัดนี้มีค่า C/I = 9.91 dB และ C/N = 16.71 dB เกิดจากจุดวัดอยู่ภายในอาคารและถูกอาคาร สูงบังคลื่นส่งมาจากสถานีเครือข่ายหมายเลข 51 (ราษฎร์บูรณะ)
วิทยุเซลลูลาร์ (Cellular radio) มีชื่อเรียกอีกอย่างอื่น ได้แก่ โทรศัพท์เคลื่อนที่ โทรศัพท์มือถือ เป็นการใช้คลื่นวิทยุในการรับ-ส่งเสียงสนทนาหรือข้อมูลอิเล็กทรอนิกส์ แบ่งตามลักษณะการใช้งาน ดังนี้ ระบบเพจจิง (Paging system) ระบบโทรศัพท์เซลลูลาร์ / เคลื่อนที่ (Cellular / Mobile Phones) ระบบโทรศัพท์ดาวเทียม (Satellite Phones) ระบบโทรศัพท์พีซีเอส (Personal Communications Services) ชนิดของสื่อ ความเร็ว สายยูทีพี (Cat1-5) 1-100 Mbps สาย T-1, T-2, T-3, T-4 1.5, 6.3, 45 และ 274 Mbps สายโคแอกเซียล 1-100 Mbps สายใยแก้วนำแสง 2 Gbps ไมโครเวฟบนดิน 45 Mbps ไมโครเวฟดาวเทียม 50 Mbps วิทยุเซลลูลาร์ 2 Mbps อินฟราเรด 1-4 Mbps ข้อดีคือ ความยืดหยุ่นและเคลื่อนย้ายได้ง่าย ข้อเสียคือ ส่งขอ้มูลได้ช้าและสัญญานถูกรบกวนได้ง่าย ถ้าจะใช้ต่อเน็ตควรใช้สาย UTP ดีกว่าเพราะหาง่ายและถูกแล้วยังส่งข้อมูลได้ดีอีก
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น